การเป็นฟรีแลนซ์หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระในยุคนี้อาจฟังดูเป็นงานในฝันสำหรับหลายคน เพราะคุณสามารถจัดการเวลาเอง เลือกงานที่รัก และไม่ต้องมีเจ้านายคอยสั่ง แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนมักละเลยคือ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญที่ทุกคนต้องจัดการอย่างถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะมีรายได้หลักหมื่นหรือหลักแสนต่อเดือน กรมสรรพากรก็ยังถือว่าคุณคือ “ผู้มีรายได้” ที่ต้องยื่นภาษีตามกฎหมายเหมือนกันทุกคน

เมื่อเริ่มต้นทำงานอิสระ รายได้อาจยังไม่แน่นอน เอกสารบัญชีอาจไม่ครบ และการคำนวณภาษีอาจฟังดูซับซ้อน แต่หากคุณเข้าใจหลักการตั้งแต่ต้น รู้วิธีเก็บหลักฐาน เลือกวิธีหักค่าใช้จ่าย และใช้สิทธิลดหย่อนให้ถูกจังหวะ คุณจะสามารถ “เสียภาษีอย่างชาญฉลาด” ได้อย่างที่มืออาชีพทำกัน บทความนี้จะพาคุณไล่เรียงตั้งแต่พื้นฐานการเข้าใจสถานะผู้มีรายได้ ไปจนถึงการวางแผนภาษีสำหรับฟรีแลนซ์ แบบครบจบในที่เดียว
เข้าใจสถานะฟรีแลนซ์กับภาษีในประเทศไทย
หลายคนที่เริ่มต้นอาชีพฟรีแลนซ์อาจคิดว่า เมื่อไม่ได้สังกัดบริษัทหรือไม่มีสลิปเงินเดือนประจำ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นภาษี แต่แท้จริงแล้ว “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” คือภาษีที่เก็บจากรายได้ของบุคคลทั่วไปทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ เจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ ตราบใดที่คุณมีรายได้ในประเทศไทย หรือมีรายได้จากต่างประเทศและนำเข้ามาในไทย คุณก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกัน
การเข้าใจสถานะของตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณอยู่ในไทยมากกว่า 180 วันในปีภาษีนั้น คุณจะถือว่าเป็น “ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี” หมายความว่า คุณต้องนำรายได้จากทั่วโลก ไม่ว่าจะมาจากลูกค้าในไทยหรือประเทศอื่น มาคำนวณรวมเพื่อเสียภาษี ในทางกลับกัน หากคุณอยู่ในไทยน้อยกว่า 180 วัน คุณจะถูกจัดเป็นผู้ไม่มีถิ่นภาษี และต้องเสียภาษีเฉพาะรายได้จากแหล่งในประเทศเท่านั้น ดังนั้นการรู้สถานะของตนเองจึงช่วยป้องกันความผิดพลาดและลดความเสี่ยงทางกฎหมายในอนาคต
ประเด็นสำคัญที่ควรรู้สำหรับฟรีแลนซ์:
- อยู่ในไทยเกิน 180 วัน ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นภาษี ต้องเสียภาษีจากรายได้ทั่วโลก
- อยู่ในไทยไม่ถึง 180 วัน เสียเฉพาะรายได้จากแหล่งในประเทศไทย
- รายได้จากต่างประเทศที่โอนเข้าบัญชีไทย ถือว่าเป็นรายได้ที่ต้องนำมาคิดภาษี
- เก็บหลักฐานรายรับ–รายจ่ายและสัญญางานไว้เสมอ เพื่อยืนยันรายได้จริง
โครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับฟรีแลนซ์
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยเป็นระบบ “ก้าวหน้า” หมายความว่า ยิ่งคุณมีรายได้มาก อัตราภาษีที่ต้องชำระก็จะสูงขึ้น ดังนั้นฟรีแลนซ์ทุกคนควรเข้าใจช่วงรายได้และอัตราภาษีของตนเองให้ชัดเจน เพื่อจะได้คำนวณล่วงหน้าและวางแผนอย่างเหมาะสม ไม่ต้องตกใจเมื่อถึงช่วงยื่นภาษีในเดือนมีนาคมของทุกปี
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาล่าสุดแบ่งตามช่วงรายได้สุทธิดังนี้ – รายได้สุทธิ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้น จากนั้นจะเพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นคือ 5% สำหรับ 150,001–300,000 บาท , 10% สำหรับ 300,001–500,000 บาท , 15% สำหรับ 500,001–750,000 บาท , 20% สำหรับ 750,001–1,000,000 บาท , 25% สำหรับ 1,000,001–2,000,000 บาท , 30% สำหรับ 2,000,001–5,000,000 บาท และ 35% สำหรับรายได้เกิน 5,000,001 บาทขึ้นไป แม้ตัวเลขจะดูเยอะ แต่หากเข้าใจวิธีคิด คุณสามารถคำนวณภาษีได้เองโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมซับซ้อนเลย
สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้ช่วงภาษีของตัวเอง:
- ตรวจสอบฐานรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและสิทธิลดหย่อน
- วางแผนภาษีรายปี โดยคำนวณจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
- เก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายจริง เพื่อให้ฐานภาษีต่ำที่สุดเท่าที่กฎหมายอนุญาต
- หากรายได้เริ่มสูงขึ้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษี เพื่อวางแผนล่วงหน้า
ขั้นตอนคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับฟรีแลนซ์
การคำนวณภาษีสำหรับฟรีแลนซ์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องมีระบบและความละเอียดรอบคอบ เริ่มจากการรวมรายได้ทั้งหมดในปีภาษี ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากงานหลัก งานเสริม หรือรายได้จากลูกค้าต่างประเทศที่นำเข้ามาไทย จากนั้นจึงหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับงาน และสิทธิลดหย่อนต่าง ๆ เพื่อหาฐานภาษีสุทธิที่จะนำไปคำนวณตามอัตราภาษีที่กำหนด
สมมติว่าคุณมีรายได้รวมทั้งปี 600,000 บาท หักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับงาน 100,000 บาท จะเหลือรายได้สุทธิ 500,000 บาท จากนั้นหักค่าลดหย่อนส่วนบุคคล 60,000 บาท จึงเหลือฐานภาษี 440,000 บาท เมื่อคำนวณตามขั้นภาษี รายได้ 150,000 บาทแรกยกเว้นภาษี 150,000 บาทถัดไปเสีย 5% และส่วนที่เหลืออีก 140,000 บาทเสีย 10% ผลลัพธ์คือภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
ลำดับขั้นคำนวณภาษีฟรีแลนซ์อย่างเป็นระบบ:
- รวบรวมรายได้ทั้งหมดตลอดปี ทั้งจากไทยและต่างประเทศ
- หักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานโดยตรง
- หักสิทธิลดหย่อนส่วนบุคคลและอื่น ๆ ตามกฎหมาย
- คำนวณภาษีตามช่วงอัตราก้าวหน้าและชำระภายในกำหนด
ค่าใช้จ่ายและสิทธิลดหย่อนที่ฟรีแลนซ์ควรรู้จักใช้ให้คุ้มค่า
สิ่งที่ฟรีแลนซ์มักพลาดคือการละเลยค่าใช้จ่ายและสิทธิลดหย่อนที่สามารถนำมาลดภาระภาษีได้ เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้ถือเป็น “ต้นทุนในการประกอบอาชีพ” ที่กฎหมายอนุญาตให้หักได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต หรือค่าโปรแกรมที่ใช้ทำงาน ล้วนถือเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่สามารถนำมาหักได้
นอกจากนี้ยังมีสิทธิลดหย่อนภาษีที่ควรใช้ให้ครบ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล 60,000 บาท ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาท ต่อคน รวมถึงค่าประกันชีวิต เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ SSF/RMF ซึ่งช่วยลดฐานภาษีได้อย่างมาก ฟรีแลนซ์ที่วางแผนภาษีล่วงหน้า สามารถใช้สิทธิเหล่านี้เพื่อลดจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ฟรีแลนซ์ควรทำเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนให้เต็มที่:
- ทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ เพื่อแยกค่าใช้จ่ายที่หักได้
- เก็บใบเสร็จ ใบกำกับภาษี และหลักฐานการชำระเงินไว้ครบถ้วน
- ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนใหม่ทุกปีจากกรมสรรพากร
- ใช้โปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์เพื่อช่วยวางแผนเบื้องต้น
รายได้จากต่างประเทศกับภาษีของฟรีแลนซ์ในไทย
ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การทำงานไร้พรมแดน ฟรีแลนซ์จำนวนมากมีลูกค้าต่างประเทศ รับงานออนไลน์ และรับเงินเข้าบัญชีไทย ซึ่งประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะรายได้จากต่างประเทศอาจต้องเสียภาษีหากคุณเป็นผู้มีถิ่นภาษีในไทย และนำรายได้นั้นเข้ามาในประเทศ
หลักการคือ หากคุณอยู่ในไทยเกิน 180 วัน รายได้ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศจะต้องนำมาคิดภาษี แต่ถ้าคุณอยู่ในไทยไม่ถึง 180 วัน คุณจะเสียภาษีเฉพาะรายได้ที่เกิดจากแหล่งในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม กฎหมายไทยอนุญาตให้ใช้สิทธิภายใต้ “สนธิสัญญาภาษีซ้อน” กับบางประเทศ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการเสียภาษีสองครั้ง ดังนั้น หากคุณมีรายได้จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษีระหว่างประเทศเพื่อวางแผนอย่างถูกต้อง
สิ่งที่ควรตรวจสอบหากคุณมีรายได้ต่างประเทศ:
- สถานะผู้มีถิ่นภาษีในปีนั้น อยู่ในไทยเกิน 180 วันหรือไม่
- ประเทศที่ลูกค้าอยู่ มีข้อตกลงภาษีซ้อนกับไทยหรือไม่
- ช่องทางรับเงินและวันที่นำเงินเข้าประเทศไทย
- เก็บเอกสารการรับเงินและใบแจ้งรายได้จากต่างประเทศไว้ทุกครั้ง
การยื่นแบบและชำระภาษีของฟรีแลนซ์
เมื่อถึงเวลายื่นภาษี ฟรีแลนซ์ต้องจัดเตรียมเอกสารทั้งหมดให้พร้อม เช่น รายได้ทั้งปี ใบหักภาษี หลักฐานค่าใช้จ่าย และเอกสารสิทธิลดหย่อน ปีภาษีของไทยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม และต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 หรือ 91) ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป หากยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรสามารถขยายเวลาได้ถึงวันที่ 8 เมษายน ซึ่งเป็นช่องทางที่สะดวกและได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
การชำระภาษีสามารถทำผ่านธนาคาร เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือระบบ e-Payment ของกรมสรรพากรได้ทันที และหากภาษีที่ต้องชำระสูง สามารถแบ่งจ่ายได้ แต่ต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด อย่าลืมตรวจสอบการหักภาษี ณ ที่จ่าย จากลูกค้าหรือบริษัทต่าง ๆ ที่จ่ายค่าจ้างให้คุณ เพราะใบหักภาษีเหล่านี้สามารถนำมาหักออกจากยอดภาษีที่ต้องชำระได้อีกส่วนหนึ่ง ช่วยลดภาระภาษีลงได้จริง
เคล็ดลับสำหรับการยื่นแบบภาษีให้ถูกต้อง:
- จัดเตรียมเอกสารรายได้ ค่าใช้จ่าย และใบลดหย่อนให้ครบตั้งแต่ต้นปี
- ตรวจสอบใบหักภาษี ณ ที่จ่าย จากลูกค้าทุกคน เพื่อใช้เป็นเครดิตภาษี
- ยื่นแบบภาษีออนไลน์ภายในกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ
- หากไม่แน่ใจการคำนวณ ให้ใช้บริการที่ปรึกษาภาษีหรือผู้ทำบัญชีมืออาชีพ
เคล็ดลับวางแผนภาษีสำหรับฟรีแลนซ์ให้คุ้มค่าและถูกกฎหมาย
ฟรีแลนซ์ที่เข้าใจภาษี ไม่ได้แค่ยื่นแบบให้ครบ แต่สามารถวางแผนล่วงหน้าเพื่อลดภาระภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย หนึ่งในแนวทางคือ การแยกบัญชีรายได้ส่วนตัวกับบัญชีค่าใช้จ่ายในการทำงาน เพราะจะช่วยให้ติดตามต้นทุนได้ชัด และเก็บหลักฐานประกอบการยื่นภาษีได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรตั้งงบประมาณสำรองภาษีไว้ทุกเดือน เช่น 10–15% ของรายได้ เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนักเมื่อถึงช่วงยื่นแบบ
อีกเคล็ดลับที่มักถูกมองข้ามคือ การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี เช่น ซื้อกองทุน SSF หรือ RMF ที่ได้รับสิทธิลดหย่อนตามกฎหมาย พร้อมทั้งคำนวณรายได้คร่าว ๆ ทุก 3–6 เดือน เพื่อประเมินภาษีที่อาจเกิดขึ้น สิ่งสำคัญคือ อย่าเลี่ยงภาษี เพราะนอกจากจะผิดกฎหมาย ยังทำให้คุณไม่สามารถใช้รายได้เป็นหลักฐานทางการเงิน เช่น ในการขอสินเชื่อ หรือยื่นวีซ่าทำงานในต่างประเทศ
แนวทางวางแผนภาษีที่ได้ผล:
- แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจให้ชัดเจน
- สำรองเงินภาษีไว้ล่วงหน้าทุกเดือน 10–15% ของรายได้
- ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ลดหย่อนภาษีได้ เช่น RMF หรือ SSF
- หมั่นคำนวณภาษีระหว่างปี เพื่อควบคุมภาระภาษีได้แม่นยำ
สรุป: คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับฟรีแลนซ์อย่างไรดี
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับฟรีแลนซ์ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่คุณเข้าใจหลักพื้นฐาน รู้จักหักค่าใช้จ่ายและสิทธิลดหย่อนให้ถูกต้อง ก็สามารถลดภาระภาษีได้อย่างมาก อย่ามองว่าภาษีคือภาระ แต่ให้มองว่าเป็น “เครื่องมือจัดการการเงิน” ที่จะช่วยให้คุณมีระบบ และเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายอาชีพมากขึ้น
จงเริ่มจากการทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายที่ชัดเจน วางแผนภาษีล่วงหน้า และหมั่นอัปเดตกฎหมายภาษีใหม่ ๆ อยู่เสมอ หากทำได้อย่างต่อเนื่อง คุณจะไม่เพียงแต่ “เสียภาษีถูกต้อง” แต่ยัง “เสียภาษีอย่างฉลาด” จนกลายเป็นฟรีแลนซ์ที่มั่นคงและพร้อมเติบโตในระยะยาว








































