ปวดหัวข้างซ้าย นั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน มีหลายปัจจัยสาเหตุ และมีอาการที่รุนแรงแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเริ่มจากอาการปวดเบา ๆ ปวดแบบเฉียบพลัน มีทั้งปวดจี๊ด ปวดตื้อ ๆ ตุบ ๆ ซึ่งบางทีก็อาจจะลุกลามไปยังที่ตา คอ และฟันได้ โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่พบเห็นได้บ่อยก็มีดังนี้
เกิดจากความเครียด
การปวดหัวด้านซ้าย ที่มาจากความเครียด ถือเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เพราะคนยุคปัจจุบันต้องเจอกับความเครียดมากมาย โดยเฉพาะคนในกลุ่มวัยทำงาน และวัยรุ่น อาการอาจจะเบา ไปจนถึงปานกลาง บางทีก็เป็น ๆ หาย ๆ อาจจะปวดอวัยวะซีกซ้ายได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นขมับ กกหู ท้ายทอย ใบหน้า แต่โดยส่วนมากการปวดจากความเครียดมักจะไม่อาการของโรคอื่นแทรกซ้อน
อาการปวดจากไมเกรน
การปวดจากไมเกรนก็ถือว่าเป็นสาเหตุที่พบบ่อย โดยจะรู้สึกปวดตุบ ๆ ประมาณ 4 ชั่วโมงขึ้นไป บางรายก็ปวด 4 – 5 วัน และอาจจะมีอาการอื่น ๆ แทรกซ้อนด้วย เช่น รู้สึก คลื่นไส้อาเจียน หูไวต่อเสียง จมูกไวต่อการได้กลิ่น หรือ ตาไวต่อแสง ในบางรายก่อนที่จะมีอาการอาจจะมีสัญญาณเตือนเช่น รู้สึกชาด้านใดด้านหนึ่งที่บริเวณใบหน้า หรือร่างกาย มองสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัด มองเห็นแสงวูบวาบ และหูแว่ว เป็นต้น
ปวดแบบคลัสเตอร์
อาการ ปวดหัวข้างซ้าย แบบนี้มักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว อยู่ ๆ ก็ปวดแบบรุนแรง ปวดแบบเฉียบพลัน มีทั้งปวดหัวตุบ ๆ ปวดจี๊ดหรือปวดแสบปวดร้อน เป็นชุด ๆ ส่วนใหญ่จะปวดติดต่อกันเป็นเวลานานอาการอาจจะลุกลามไปยังหน้าผาก ขมับ ฟัน จมูก คอ และหัวไหล่ ด้านซ้ายได้ รวมไปถึงอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หน้าแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล มีเหงื่อออกมาก เป็นต้น
วิธีรับมือ และป้องกันอาการ ปวดหัวข้างซ้าย ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- เน้นทานอาหารที่ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
- ดื่มน้ำมาก ๆ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หากรู้สึกปวดให้ประคบ อุ่นหรือเย็น บริเวณที่ปวด
- พยายามคลายเครียดเช่นฟังเพลง แช่น้ำอุ่น นั่งสมาธิ
- หากทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล ก็ให้ปฏิบัติ ตามฉลากอย่างเคร่งครัด
ถึงแม้ว่าอาการ ปวดหัวข้างซ้าย อาจจะไม่รุนแรงมากนัก หรือนาน ๆ อาจจะเกิดขึ้นสักที ทางที่ดีควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาจะดีที่สุด เพราะอาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่ากำลังมีอาการเจ็บป่วยแทรกซ้อนร่วมอยู่ด้วย เพราะหากทิ้งไว้นานหากเป็นโรคร้ายแรง การรักษาก็อาจจะกลายเป็นเรื่องยากได้